ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่นหรือเยอรมนี เราคนไทยนั้นต่างรู้จักกันดีว่าเป็นสองประเทศที่เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่ำรวย สร้างประเทศขึ้นมาเป็นทุกวันนี้ได้แม้ว่าจะผ่านประสบการณ์อันโหดร้ายจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่สองกันอย่างยับเยินทั้งคู่ เนื่องจากผมเป็นคนไทยที่มีโอกาสได้อาศัยอยู่ในทั้งสองประเทศ (จนเพื่อนบางคนเรียกผมว่า “แกมันเกิดมาเพื่อฝ่ายอักษะ!” 😆😆😆) เท่าที่ได้เคยพูดคุยกับเพื่อนและคนรู้จักจากทั้งสองชาติ ต่างก็ได้รับรู้ว่าทั้งคนญี่ปุ่นและคนเยอรมันนั้นมักจะมีแนวโน้มที่จะมองคนในทั้งสองประเทศว่า “ขยันและจริงจังคล้ายคลึงกันเวลาทำงาน” แต่จริงๆแล้วคนในสองประเทศที่ตั้งห่างกันเป็นหมื่นกิโลเมตรอยู่คนละทวีปนี้มีความคล้ายคลึงกันจริงๆหรือ!?!? วันนี้ผมเลยอยากลองเปรียบเทียบลักษณะในการทำงานของคนทั้งสองประเทศจากประสบการณ์ส่วนตัวให้คนไทยได้ลองอ่านกันนะครับ อนึ่ง สิ่งที่นำเสนอนั้นบอกได้เลยว่าเป็นเพียง “แนวโน้ม” ที่พอสังเกตได้ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นแบบนั้นทั้งหมด 100% ขอให้ผู้อ่านได้ใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยครับ แล้วหากใครมีประสบการณ์ที่แตกต่างไปมาแลกเปลี่ยนกันก็ยินดีรับอ่านและรับฟังครับ
1) ลักษณะการใช้อีเมลติดต่อธุรกิจ
ในการเขียนอีเมลติดต่อกับบริษัทคู่ค้านั้น คนญี่ปุ่นดูจะมีพิธีรีตองเยอะไปกว่าคนเยอรมันอยู่ค่อนข้างมาก คนเยอรมันนั้นตามปกติแล้วจะมีโครงสร้างอีเมลเป็น ทักทาย-แนะนำตัว(หากไม่รู้จักกันมาก่อน)-เข้าเรื่อง-ขอบคุณ ในขณะที่แบบญี่ปุ่นจะเป็น ทักทาย-ถามสารทุกข์สุกดิบ-ขอบคุณที่ใช้บริการ-แนะนำตัว(หากไม่รู้จักกันมาก่อน)-เข้าเรื่อง-ขอโทษที่รบกวนเวลา-ขอบคุณ ซึ่งเวลาคนญี่ปุ่นเขียนอีเมลเป็นภาษาอังกฤษก็จะแปลสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำให้ผู้รับสารที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นอาจจะงงนิดหน่อยว่าทำไมต้องเล่นใหญ่เบอร์นี้ ที่ตลกคือเวลาที่เจ้านายและรุ่นพี่คนญี่ปุ่นสอนให้ผมอ่านอีเมล ทุกคนจะสอนหมดว่าตรงทักทายกับตรงขอบคุณคิอตัดทิ้งไปเลนไม่ต้องอ่าน!!! สรุปคือในเมื่อไม่มีใครอ่านแล้วจะเขียนกันเพื่อ!?
หากคุณงงว่าทำไมคนญี่ปุ่นขยันทำงานวันละเป็นสิบชั่วโมงก็ขอให้คิดด้วยว่าคนญี่ปุ่นนั้นน่าจะใช้เวลาเขียนอีเมลยาวกว่าชาติอื่นอยู่ไม่น้อยครับ อันนี้อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทำงานนานกว่าคนเยอรมัน 555 อย่างไรก็ดีมารยาทในการตอบอีเมลของคนญี่ปุ่นนั้นถือว่าดีกว่าคนเยอรมันค่อนข้างมากอยู่ เพราะจากประสบการณ์แล้วส่วนใหญ่คนญี่ปุ่นจะตอบอีเมลอย่างช้าสุดก็ไม่เกิน 2-3 วัน ในขณะที่คนเยอรมันนั้นบางทีต้องรอเป็นอาทิตย์ หรือบางทีก็ไม่ตอบเลยถ้าเราไม่โทรไปจิกนะครับ
2) ความตรงไปตรงมาในการสื่อสาร
คนเยอรมันค่อนข้างขึ้นชื่อเรื่องความเถรตรงขวานผ่าซาก ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานก็เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะจริง คนเยอรมันมีแนวโน้มที่จะพูดใช่-ไม่ใช่ (Ja-Nein) ในที่ทำงานแบบแสดงจุดยืนของตนเองชัดเจน และแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆแบบตรงไปตรงมา โดยที่ไม่เกี่ยวด้วยว่าสิ่งที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์นั้นมาจากเจ้านายหรือเพิ่อนร่วมงาน เพราะคนเยอรมันพยายามแยก “สิ่งของ”(Sache) ออกจากตัว “บุคคล”(Person) คือเชื่อว่าการวิจารณ์ความคิดหรือข้อเสนอของใครคือการโฟกัสไปที่ “ความคิด/ข้อเสนอ” ที่เป็น “สิ่งของ” ไม่ใช่การวิจารณ์ไปที่ “ตัวบุคคล” ที่เป็นผู้เสนอความคิดนั้น เราก็เลยมักจะเห็นเหตุการณ์ที่คนเยอรมันเถียงกันแทบเป็นแทบตายในที่ประชุม แต่พอออกจากห้องไปกินข้าวกันก็คุยกันสนิทสนมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในส่วนของคนญี่ปุ่นนั้นจะมีความตรงไปตรงมาในการสื่อสารน้อยกว่าแบบเยอรมัน ต้องสรรหาคำพูดต่างๆนานามาโปะหลายชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้บัวช้ำน้ำขุ่นนั่นเองครับ ยิ่งถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดหรือข้อเสนอของคนอื่นด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังคำพูดกันสุดๆ ไม่สามารถถกเถียงกันแบบร้อนแรงได้ เพราะทุกคนกลัวว่าหลังจากนั้นจะมองหน้ากันไม่ติด จะมีความคล้ายคลึงกับคนไทยมากกว่าตรงที่มองมิติเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยนะครับ ถึงแม้ว่าภาษาญี่ปุ่นจะมี ใช่/ไม่ใช่ (はい/いいえ) เหมือนในภาษาอื่นๆ แต่ว่าคำว่า “ไม่ใช”(いいえ) นั้นคนญี่ปุ่นก็มักจะพยายามหลีกเลี่ยงโดยจะพูดอ้อมไปอย่างอื่นแทน เช่น ค่อนข้างยาก (ちょっと難しいです。) ต้องใช้เวลาในการทำ (やるのに時間がかかります。) และอะไรต่างๆนานา ซึ่งแน่นอนว่าพอเห็นคนญี่ปุ่นกับคนเยอรมันมาประชุมรวมกันแล้วล่ะก็ ความแตกต่างตรงนี้จะเป็นจุดที่น่าสนใจ และบางทีก็ตลกพอสมควรครับ
3) ความสัมพันธ์หัวหน้า-ลูกน้อง
สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว หัวหน้าจะมีสถานะและอำนาจราชศักดิ์ที่สูงกว่าตนเองค่อนข้างมากจนกระทั่งต้องใช้ความระมัดระวังในการสื่อสารกับเจ้านายและผู้บังคับบัญชาอย่างมาก ดังนั้นการสื่อสารจาก “ข้างล่างขึ้นข้างบน” นั้น คนญี่ปุ่นต้องระมัดระวังการใช้คำพูดเป็นอย่างมากเพราะเกรงว่าจะมีผลกระทบต่อการประเมินผลงานและอนาคตในหน้าที่การงานของตัวเองนะครับ ภาษาที่ลูกน้องใช้กับเจ้านายนั้นมักจะต้องเป็น “รูปสุภาพ(敬体)” เสมอ ในขณะที่ภาษาที่เจ้านายใช้กับลูกน้องนั้นสามารถเป็น “รูปธรรมดา(常体)” ได้ด้วย สำหรับการสื่อสารจาก “ข้างบนสู่ข้างล่าง” (หรือก็คือจากเจ้านายสู่ลูกน้องของคนญี่ปุ่นนั่นเอง) จะมีความเกรงใจน้อยกว่าและมีความตรงไปตรงมาที่สูงมากอยู่ แม้กระทั่งการตำหนิติเตียนลูกน้องของคนญี่ปุ่นนั้นบางทีก็ทำกันต่อหน้าพนักงานคนอื่นโดยที่ไม่กลัวว่าคนที่ถูกตำหนิจะเสียหน้าหรือรู้สึกไม่ดี
ในส่วนของคนเยอรมันนั้นจะมีช่องว่างระหว่างห้วหน้ากับลูกน้องน้อยกว่าคนญี่ปุ่นมาก ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นหัวหน้าคุยกับลูกน้องก็มักจะใช้ภาษาแบบรูปธรรมดา/สนิทสนม (Du-Form, duzen) กันทั้งเจ้านายและลูกน้อง (ยังคงมีคนเยอรมันหัวโบราณที่ยังคงดึงดันจะใช้รูปสุภาพ (Sie-Form, siezen) อยู่บ้างนะครับ แต่น้อยมาก) ลักษณะการสื่อสารจะคล้ายๆเหมือนหัวหน้าเป็นโค้ชที่คอยให้คำปรึกษากับลูกน้องโดยที่จะไม่ค่อยมีการออกคำสั่งมากมายเท่าไหร่ ความเห็นหรือการสื่อสารจาก “ข้างล่างขึ้นข้างบน” ในระบบเยอรมันจึงมีมากกว่าในแบบญี่ปุ่นครับ
4) ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกันนั้นค่อนข้างมีความเป็นกันเองอยู่มาก เพราะว่าพอคนอื่นรู้ปุ๊บว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกันกับเขา ทุกคนก็มักจะเสนอให้ใช้ภาษาแบบสนิทสนม (Du-Form, duzen) ปั๊บเลยทันที เรื่องอายุนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคขวางกั้นอะไรใดๆมากมายนัก อาจจะเป็นเพราะว่าคนเยอรมันนั้นก็เปลี่ยนงานกันทุกๆ 3-4 ปี ทำให้ทุกคนมีโอกาสได้เริ่มอะไรใหม่ๆและเป็นคนใหม่ไร้ประสบการณ์ในเรื่องใหม่ๆอยู่เสมอกระมังครับ
ในส่วนของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานคนญี่ปุ่นระดับเดียวกันนั้นจะค่อนข้างซับซ้อนกว่าแบบเยอรมันอยู่นิดหน่อยตรงที่คนญี่ปุ่นจะเอาอายุเข้ามาพิจารณาในการเลือกใช้ภาษาด้วย ตามปกติแล้วคนที่อายุมากกว่าก็สามารถเลือกใช้ภาษา “รูปสุภาพ” หรือ “รูปธรรมดา” กับคนที่อายุน้อยกว่าก็ได้ ในขณะที่คนที่อายุน้อยกว่าจะต้องใช้ภาษา “รูปสุภาพ” กับคนที่มีอายุมากกว่าเท่านั้น (เว้นแต่ว่าจะสนิทกันพิเศษและมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกันมาก่อน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) ด้วยการนำอายุเข้ามาพิจารณากับเพื่อนร่วมงานแบบนี้ คนที่มีอายุน้อยจึงมักจะมีสิทธิ์มีเสียงน้อยกว่าคนอายุเยอะ แม้ว่าจริงๆแล้วตามโครงสร้างบริษัทนั้น ทุกคนจะเป็นพนักงานระดับเดียวกันก็ตาม
5) ลักษณะการกินข้าวกลางวันกับเพื่อนร่วมงาน
วัฒนธรรมการกินข้าวกลางวันในโรงอาหารของชาวเยอรมันนั้นไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากคนไทยมากมาย ส่วนใหญ่แล้วคนในแผนกเดียวกันก็มักจะเดินไปกินข้าวกลางวันในโรงอาหารพร้อมๆกัน นั่งโต๊ะเดียวกันรวมกันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แล้วก็จะเป็นโอกาสที่เพื่อนร่วมงานจะได้ทำความรู้จักพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้วย สิ่งที่แปลกอย่างหนึ่งของวิศวกรชาวเยอรมันบางคนก็คือ ถ้าเขานึกหัวข้อคุยไม่ออก ก็จะนั่งเงียบๆไม่พูดอะไรออกมาแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศที่นั่งกินกันเงียบๆนั้นมันผิดปกติ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันแปลกอยู่บ้าง เพราะว่าอุตส่าห์มานั่งกินข้าวกัน จะนั่งกินอย่างเดียวไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเลยมันก็ดูกระไรอยู่ ในทางกลับกันถ้าสมมติว่าเราไปจุดติดเรื่องอะไรบางเรื่องที่เขาชอบและสนใจมาก ก็จะพูดไม่หยุดแถมไม่เปิดโอกาสให้ใครพูดแทรกด้วยนะ! อารมณ์การกินข้าวกลางวันกับชาวเยอรมันก็จะประมาณนี้ครับ
ส่วนทางฝั่งญี่ปุ่นนั้นเล่า ตัวผมเองก็ค่อนข้างช็อคอยู่มากพอสมควรสมัยที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น เพราะว่าคนญี่ปุ่นนั้น แม้แต่ในที่ทำงาน เวลากินอาหารกลางวันในโรงอาหารของบริษัท ผู้หญิงกับผู้ชายจะไม่นั่งกินข้าวรวมกัน!!!!! ในแผนกของผมเคยมีรุ่นน้องวิศวกรผู้หญิงเข้ามาใหม่ รุ่นพี่คนญี่ปุ่นก็พานางไปฝากนั่งโต๊ะเดียวกับกลุ่มผู้หญิงที่อยู่แผนกอื่น คือต้องพยายามกันถึงปานนี้จริงๆ!!! ที่ตลกมากคือ ผมก็รู้จักกลุ่มเด็กฝึกงานคนเยอรมันในบริษัทบ้าง บางวันก็ไปนั่งกินข้าวกับกลุ่มนั้นซึ่งนั่งกินรวมกันทั้งหญิงและชาย ปรากฏว่าพอกลับไปทำงานที่แผนกตอนบ่ายถูกรุ่นพี่คนญี่ปุ่นหลายคนแซวว่า “แกเนี่ย ป็อปปูลาร์นะ! (お前はモテモテだね。)” ซึ่งเราก็งงนิดนึงพร้อมกับคิดในใจว่า “นี่มันอิหยังวะ!?” ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทุกวันนี้คนญี่ปุ่นยังคงนั่งกินข้าวกลางวันแยกหญิงชายอัตโนมัติอยู่หรือไม่ จริงๆถ้าเปลี่ยนจุดนี้ได้อาจจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องประชากรลดลงได้ไม่มากก็น้อยอยู่นะครับ 😆😆😆
6) ทัศนคติต่อการหยุดพักร้อน
สำหรับชาวเยอรมันแล้ว การลาหยุดพักร้อน (Urlaub nehmen) ถือเป็นสิทธิที่จะไม่มีใครมาแตะต้องหรือพรากไปจากพวกเขาได้ คนเยอรมันส่วนใหญ่จะมีวันหยุดพักร้อนประมาณปีละ 25-30 วัน รวมกับวันหยุดราชการอีก 10-12 วัน (ขึ้นอยู่กับรัฐ) ก็จะมีวันที่ได้หยุดงานปีละ 35-42 วันนะครับ (แต่ถ้าวันหยุดราชการตรงกับเสาร์อาทิตย์ก็ถือว่าซวยไปเพราะไม่มีระบบ “วันชดเชย” แบบที่ไทยหรืออังกฤษครับ) วิธีการวางแผนพักร้อนของชาวเยอรมันนั้นแตกต่างกันไป แต่ว่าในบริษัทส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้พนักงานวางแผนหยุดพักร้อนของปีนั้นๆตั้งแต่ต้นปี (คือช่วงมกราคม- มีนาคมต้องวางแผนหยุดสำหรับทั้งปีแล้ว) โดยการวางแผนโดยทั่วไปจะต้องไปปรึกษากับเพื่อนร่วมงานคนที่จะต้องทำงานแทนเราในเวลาที่เราไม่อยู่ (proxy – Vertreter) รวมทั้งหัวหน้าด้วยนะครับ พอตกลงกันได้แล้วก็วางแผนหยุดสำหรับทั้งปี เจ้านายส่วนใหญ่ก็อนุมัติ ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ ที่สำคัญคือในบางบริษัทมีกฎด้วยว่าพนักงานจะต้องแพลนหยุด 2 อาทิตย์ติดกันอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อปี เพื่อสนับสนุนให้พักผ่อนอย่างแท้จริงอีกด้วยครับ
ในส่วนของชาวญี่ปุ่นนั้น ทัศนคติต่อการหยุดพักร้อนจะต่างกับของชาวเยอรมันค่อนข้างเยอะอยู่ ถามว่าคนญี่ปุ่นอยากพักร้อนมั้ย? คำตอบก็คือ “อยาก” แต่ปัญหาก็คือความคิดที่ว่า “การพักร้อนเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนร่วมงานและเจ้านาย” (同僚や上司に迷惑をかける) หรือ “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นช่วงที่ไม่อยู่จะทำยังไงดี?” (不在中に何があったらどうする?) ซึ่งทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนมากไม่กล้าลาหยุดพักร้อนติดกันหลายๆวัน เกิดปรากฏการณ์ที่วันหยุดของปีนี้สะสมไปที่ปีหน้าจนบางคนมีวันหยุดสะสม 50-60 วันก็มี มีสำนวนที่คนญี่ปุ่นมักชอบใช้พูดแซวกันถึงกรณีที่ลาหยุดไป 2 อาทิตย์ก็คือ “ระวังกลับมาโต๊ะทำงานจะไม่เหลือนะ!”(帰ってきたら、席なくなるよ!) ที่ก็อาจจะฟังเป็นแค่คำพูดเล่น แต่ว่ามันสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของคนญี่ปุ่นต่อการหยุดพักร้อนที่ฝังรากลึกมากๆด้วยเช่นกัน สำหรับพนักงานบริษัทญี่ปุ่นนั้นตามปกติจะมีวันหยุดพักร้อนอยู่ที่ 10-20 วัน และวันหยุดราชการอีก 16 วันนะครับ โดยรวมๆแล้วก็ไม่ได้น้อยกว่าของคนเยอรมันเท่าไหร่ แต่ว่าปัญหาคือคนญี่ปุ่นไม่ยอมหยุดงานกันมากกว่า
7) ทัศนคติต่อการทำงานล่วงเวลา
สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว การทำงานล่วงเวลาเหมือนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่า “ฉันขยันทำงานนะเฟ้ย! ฉันทุ่มเทให้กับองค์กรนะ!” เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอย่างแท้จริง ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นก็คือ “งานจะเข้าไปหาคนที่ทำงานเก่ง” (仕事はできる人に集まる。) เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้ามาประกอบกัน ก็เลยทำให้การทำโอทีหรืองานล่วงเวลาเป็น “เรื่องปกติมากๆ” (当たり前) ของคนญี่ปุ่นไป ที่สำคัญคือทุกนาทีและทุกชั่วโมงที่ทำล่วงเวลานั้นจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงิน เพราะฉะนั้น พนักงานชาวญี่ปุ่นก็เลยเต็มใจที่จะอยู่ดึกเพราะว่ายิ่งอยู่ดึกก็ยิ่งได้เงินเยอะขึ้นนั่นเอง เงินก็ได้, การยอมรับจากคนรอบข้างก็ได้, แถมได้ความรู้สึกว่าเราเป็นคนเก่งอีก ใครจะไม่อยากอยู่ดึกล่ะ จริงไหมครับ?
ในฝั่งของคนเยอรมันนั้นกลับมองคนที่ต้องทำงานล่วงเวลาเยอะๆว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักจัดการวิธีการทำงานของตัวเองให้มีประสิทธิภาพ ไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญของงานต่างๆ ที่สำคัญคือคนเยอรมันนั้นมีแนวโน้มที่จะ “ปฏิเสธ” งานที่เข้ามาใหม่แบบกะทันหันได้ง่ายกว่าคนญี่ปุ่น โดยถ้าเจ้านายขอร้องให้ทำก็จะบอกเลยว่า “ทำอันนี้ก็ได้, แต่อันอื่นที่กำลังทำอยู่ก็จะไม่เสร็จนะ โอเคใช่มั้ย?” (Ich kann diese Aufgabe auch machen, aber die anderen werden vernachlässigt, ist es in Ordnung?) เพื่อส่งเมสเสจให้เจ้านายรู้เลยว่า “ไม่มีทางทำทุกอย่างเสร็จในเวลาที่จำกัด” นอกจากนี้ชั่วโมงที่เกิดจากการทำงานล่วงเวลานั้นจะจ่ายออกมาเป็นเงินได้ยากกว่าของญี่ปุ่นมากๆ ส่วนใหญ่แล้วมักจะให้เอามาแลกเป็นวันหยุดแทน ประกอบกับการที่คนเยอรมันชอบใช้เวลาอยู่กับครอบครัวหลังเลิกงาน ด้วยเหตุนี้คนเยอรมันจึงไม่ได้คิดอยากทำงานล่วงเวลาอยู่แล้ว และให้ความสำคัญกับการพยายามทำงานให้มีประสิทธิภาพตามเวลาที่กำหนดมากกว่าคนญี่ปุ่น
8) ทัศนคติต่อการทำงานโดยรวม
จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น ผมก็อยากจะขอสรุปแนวโน้มทัศนคติต่อการทำงานของทั้งสองชาติไว้ดังนี้นะครับ
คนญี่ปุ่นค่อนข้างจะมองงานเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจเหนือชีวิตตนเองและเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติด้วยความทุ่มเทให้ถึงที่สุด (หรืออย่างน้อยก็ต้องทำให้คนอื่นคิดว่าเราทุ่มเท) ความสุขจากการทำงานไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สังเกตได้จากประโยคที่ว่า “ก็มันเป็นงานที่ต้องทำ ฉันไม่มีทางเลือก” (仕事だから、仕方がない。) การขอลาพักร้อนมีความซับซ้อนด้วยทัศนคติในด้านลบที่กลัวคนอื่นจะมีต่อเรา ในขณะเดียวกันก็มองการทำงานล่วงเวลาว่าไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เจ้านายจะมีอำนาจตัดสินใจมากกว่าในองค์กรแบบเยอรมัน
ส่วนคนเยอรมันนั้นจะมองงานเป็นเพียงสิ่งที่สร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต และให้ความสำคัญกับการทำงานให้เสร็จโดยไม่ต้องทำงานล่วงเวลาเพื่อใช้เวลากับครอบครัว การลาพักร้อนถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมและวางแผนพักร้อนจริงจัง เจ้านายจะให้อำนาจในการตัดสินใจมากกว่าในระบบแบบญี่ปุ่นนะครับ
สุดท้ายนี้ก็ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นเพียงแนวโน้มที่สังเกตได้จากประสบการณ์ตรงจากการทำงานในทั้งสองประเทศ อาจมีคนอื่นมีประสบการณ์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับผมก็ได้ ก็สามารถเอามาแลกเปลี่ยนกันได้ครับ ที่สำคัญก็คือไม่ว่าชาติใดจะมีวิธีทำงานแบบไหน ทั้งสองชาตินี้ก็ได้แสดงให้เราคนไทยได้เห็นแล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในระดับโลกด้วยกันทั้งคู่และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนานาอารยประเทศอีกด้วยครับ
Picture source: pixabay.de
tied up teen slut fucked. http://snapxxx.monster blonde teen tugs cumshot.
เห็นด้วย อย่างมากครับ ชัดเจนและถูกต้องอย่างที่เขียนมาครับ
ขอบคุณคุณแสงมากครับสำหรับความคิดเห็น มีประสบการณ์อะไรเอามาแชร์กับแอดได้นะครับ 🙂